top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนProjectionist ASIA

"การเดินทางของใบเมี่ยง" ที่ The Last Kilesa Contemporary Art Space, Pai, Thailand 2011




"เวลามีคนถามผมแบบเลี่ยน ๆ ถึงค่ำคืนที่ผมจดจำ.. มันมักจะยากเสมอ เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ

จริง ๆ มันเป็นคืนที่ค่อนข้างเศร้า เพราะผมกำลังจะเริ่มต้น เพื่อนสนิทที่สุดของผม... ก็กำลังจะจากไป



เราคุยกันสั้น ๆ สามคืนก่อนงานเริ่ม พูดคุยและเริ่มขีด ๆ เขียน ๆ กันหนึ่งคืน ขี่มอเตอร์ไซด์ไปเชิญเพื่อน ๆ ของน้ำตาลถึงที่บ้านอีกหนึ่งวันเต็ม ๆ แล้วพอวันงานมาถึง ทุกคนก็โผล่มาช่วยกันโดยที่ผมไม่ได้ร้องขอด้วยซ้ำ บางคนยังไม่เคยรู้จักกันเลย




พี่หนุ่มกับพี่เป้งนำของขวัญมาให้หนึ่งรังใหญ่ ๆ พี่เปิ้ลทำขนมมาให้เต็มโต๊ะ หนิงถ่ายรูปเบื้องหลัง เก็บกวาด และสั่งข้าวกล่องให้ทีมเซ็ท พี่มุ๊กแม่ครัวเทวดาทำอาหารมหัศจรรย์มาให้ พี่แองจี้จัดการเรื่องโปรเจคเตอร์ให้ อีซิ่งเอาเครื่องเสียงมาให้ยืม และไปขโมยดอกไม้ใบหญ้าหญ้าทั้งป่ากับน้องแป๋วมาจัดเต็มงาน พี่หอยเอาดอกไม้มาให้ พี่ปอนด์เอาของขวัญมามอบให้ พี่บังสละขอนไม้ใหญ่ให้เป็นเวที พี่ท๊อปสอนและนำสิ่งต่าง ๆ และเรื่องที่ต้องระวัง พี่ฮูกแนะนำเรื่องงานพิมพ์โปสเตอร์และเรื่องพื้นฐานหลายอย่างหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้นตั้งแต่ผมไป


เหยียบที่นั่น เป๊ปกับเจ๊ออยขับรถมาจากกรุงเทพ แบกเอางานสีหมึกของพี่อ๊องมาเป็นพันกิโลเมตรมาให้ มาถึงก็เซ็ต ไหว้เจ้าที่ แยกของ ต่อไฟ และกลับในวันรุ่งขึ้นหลังงานเสร็จ กำไรนั่งรถมาจากเชียงใหม่พร้อมของขวัญ ตูนส่งของขวัญมาให้จากเชียงราย พี่ณฐส่งของขวัญมาให้จากกรุงเทพพร้อมกำลังใจชุดใหญ่ บิ๊กส่งของขวัญมาให้จากที่ไหนสักแห่งบนโลกขณะที่ยังงง ๆ อยู่ว่าผมกำลังทำอะไรกันแน่ กระป๋องสีของแม๊กที่ยื่นให้ที่ปากซอยทองหล่อก็อยู่ตรงนั้น บทความจากบอย จากคุง จากก้าน จาก Julia จากปอแก้ว จากหลิว และอีกหลาย ๆ คน ที่เขียนให้ถูกเรียบเรียงและซุกซ่อนไว้อย่างดีภายใน โคมไฟที่เอมมี่ให้วันเกิด ราวตากผ้าจากคุณปาย


"รูปของพ่อ รูปของแม่ ที่ตั้งไว้บนสุด"


เอาจริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่งานอะไรที่ยิ่งใหญ่ ไวท์คุมงานฝั่งบาร์น้ำเมี่ยงในร้านของตาลชื่อ "น้ำเมี่ยง" ที่แปลว่าน้ำชา มันเป็นความฝันของน้ำตาลที่วันหนึ่งจะมีร้านน้ำชาเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง แต่วันแรกที่ผมเปิดแกลอรี่ กลับเป็นวันสุดท้ายของน้ำเมี่ยง แต่ถึงจะเป็นวันสุดท้าย.. พี่สะอาดศิลปินที่ผมเคารพรักที่สุดคนหนึ่งที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนั้นเดินวนเวียนเข้าออกและช่วยซื้อเครื่องดื่มแจกคนอื่น ..นักดนตรีเริ่มทยอยเดินทางมา Laureen เปิดงานให้ด้วยเพลงและการแสดงที่น่ารักที่สุด


น้ำตาลต้องออกจากที่นั่นในวันรุ่งขึ้นเพื่อกลับไปดูแลยายที่ไม่สบาย








ทุกคนที่นั่น ในเมืองเล็ก ๆ เมืองนั้น อยากจะมีโอกาสมาฟังเสียงของน้ำตาลเป็นครั้งสุดท้าย หลาย ๆ คนมารอเพียงเพื่อจะได้ยินเสียงที่พวกเขาเคยได้ยิน ความหนาวยามค่ำคืนเริ่มปกคลุมอย่างหนักหน่วง อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อย ๆ พวกเราสื่อสารกันโดยไม่ต้องพูด เรารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในอากาศของคืนวันนั้น เสียงเพลง.. กองไฟ.. แสงเทียน พวกเราทบทวนความรู้สึกอะไรบางอย่างไปพร้อม ๆ กัน

มีคนบอกผมว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรบางอย่างที่ว่ากับที่แห่งนั้นมานานแล้ว ผมบอกเขาว่าผมก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ไม่ใช่แค่สำหรับที่แห่งนั้น แต่เป็นทั้งหมดทั้งมวลที่ผ่านมาในช่วงขวบปีที่ผมกำลังเติบโตขึ้น และกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ความตายที่จะมาเมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้ อะไรบางอย่างที่ว่ามันได้หายไปจากชีวิตของผมและผู้คนรอบ ๆ ตัวผม..

หรือว่า.. พวกเรากำลังเรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นจริง.. และปล่อยให้มันเล่นงาน


"น้ำตาล" เริ่มร้องเพลงของเธอ เหมือนที่เธอเคยร้อง แต่ก็ไม่เหมือน.. เพราะมันเป็นคืนสุดท้าย




ทุกคนนิ่งฟังเธอร้อง เธอไม่ได้แค่ร้อง แต่เธอแค่พยายามจะบอกอะไรกับทุกคน ซึ่งก็อาจจะเหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา บางคนมองเห็นเธอ บางคน..คิดว่ามองเห็น ผมยังจำได้ว่าผมรู้จักน้ำตาลตอนปี 2007 ตอนนั้นน้ำตาลเพิ่งเริ่มร้องเพลง เธอกำลังถูกค้นพบจากคนมากมายถึงพรสวรรค์ที่มหัศจรรย์ เสียงของตาลทำให้ทุกอย่างหยุดอยู่กับที่ มันเหมือนมนต์สะกดที่คุณต้องหยุดทำอะไรก็ตามที่กำลังทำอยู่ในขณะนั้น แล้วฟัง..



ผมกับน้ำตาลเป็นเพื่อนกัน เรารู้จักกันมา 6 ปี ถึงแม้ว่าน้ำตาลจะอายุน้อยกว่าผมหลายปี แต่น้ำตาลกลับสอนผมมากมายเกี่ยวกับ ชีวิตและสาระของมัน ในรูปแบบที่ผมเองยังไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านั้นจากคนอื่น ๆ ที่อายุมากกว่า


อธิบายง่าย ๆ ก็คือผมคุยกับเธอรู้เรื่อง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ กับคนอื่น ซึ่งทุกคนรู้ถ้าเคยคุยกับผม ผมเป็นโรคที่เรียกว่า Verbal Communication Disorder แปลเป็นไทยว่า พูดไม่รู้เรื่อง.. ส่วนน้ำตาลนั้นถูกกล่าวหาว่า "บ้า" หรือไม่ก็ เป็นผีบ้าในบางครั้งหากมองเธอจากภายนอก ถึงยังไง.. ทุกคนรักก็น้ำตาล น้ำตาลอ่อนน้อมถ่อมตนต่อโลกและจักรวาลเสมอ ปราศจากความเย่อหยิ่งจองหองและไร้พิษภัย ทุกคนที่เป็นเพื่อนน้ำตาลรู้่ดีในเรื่องน้ำใจ ความจริงใจของน้ำตาลที่มีให้ผู้คน..



น้ำตาล หรือ วิริยา เหล่าแช่ม เป็นศิลปินคนแรกของกิเลสตัวสุดท้าย แกลอรี่เล็ก ๆ ที่พูดถึงบริบทของเวลา และวาระของมันเอง คุณจะเห็นว่าผมไม่ได้พูดถึงอะไรอย่างอื่นเลยที่ฟังดูโก้ ๆ เพราะผมไม่ได้ขายของใช้ขัดตัว หรืออาหารทะเลแช่แข็งส่งออก ผมแค่พยายามสื่อสารและทบทวนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ พูดถึงมันอย่างตรงไปตรงมา เผื่อใครบางคนในพวกเราจะค้นพบความลับอะไรบางอย่างที่พวกเราจะนำไปใช้ในเวลาที่เหลืออยู่ได้


สุดท้าย.. ทุกคนก็เห็น.. ว่าน้ำตาลก็มีน้ำตา มันไม่ใช่น้ำตาเทียมแบบที่ใส่กันในละคร มันคือน้ำตาจริง ๆ ของน้ำตาล มันหวานมากจนทุกคนทำอะไรไม่ถูก น้ำตาลร้องเพลงทั้งน้ำตา เธอร้องมันจนจบเพลง ทั้ง ๆ ที่เธอร้องไห้อยู่ และลุกออกจากขอนไม้ออกไปด้านหลังเวที ทิ้งให้ทุกคนนั่งมองเวทีที่ไม่มีน้ำตาลอยู่แบบนั้น...

. .

7 มกราคม 2011 กิเลสตัวสุดท้าย เวียงใต้ ปาย แม่ฮ่องสอน




ดู 17 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page